วันอาทิตย์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ปลูกมะละกอ’ขาย ‘พันธุ์ฮอลแลนด์’มาแรง

มะละกอ เป็นอีกผลไม้ที่ได้รับความนิยมจากคนไทย ทั้งรับประทานแบบผลสุกหรือใช้ผลดิบทำเป็นส้มตำ ตลาดของมะละกอจึงกว้าง ขณะที่การปลูกขายนั้นสามารถปลูกแซมกับพืชหลักที่ปลูกอยู่แล้วก็ได้ หรือจะปลูกเป็นพืชหลักเพื่อจำหน่ายก็ไม่เลว และ “มะละกอพันธุ์ฮอลแลนด์” ก็อาจเป็น “ช่องทางทำกิน” ที่ดี...
จ.แพร่ พื้นที่ภาคเหนือตอนบน มีการปลูกส้มและลำไยเป็นพืชเศรษฐกิจมานาน แต่ปัจจุบันเกษตรกรประสบปัญหาเรื่องราคาผลผลิตตกต่ำ ไม่คุ้มค่าต่อการลงทุน เกษตรกรหลายรายต้องกู้หนี้ยืมสินมาทำการเกษตร ทำให้มีรายได้ไม่เพียงพอต่อค่าใช้จ่าย ดังนั้น ทาง ศูนย์วิจัยพืชสวนแพร่ กรมวิชาการเกษตร จึงได้สนับสนุนให้เกษตรกรปลูกพืชที่ให้ผลผลิตเร็วทดแทน เพื่อให้ได้รายได้เร็วที่สุด และ “มะละกอพันธุ์ฮอลแลนด์” ก็เป็นพืชทางเลือกหนึ่งที่ให้ผลผลิตเร็ว สามารถปลูกแซมในสวนส้มและสวนลำไยเก่าได้ทันที
มะละกอพันธุ์ฮอลแลนด์ เป็นมะละกอพันธุ์ใหม่ที่มาแรงและกำลังได้รับความนิยมในขณะนี้ ซึ่งมีลักษณะเด่นคือ ไม่มีกลิ่นยาง เนื้อหนา รสหวาน เปลือกหนา ทนทานต่อโรค ทนทานต่อการขนส่ง
ปราณี กาใจ เป็นเจ้าของสวนลำไยที่ประสบปัญหาราคาผลผลิตตกต่ำ รายได้ไม่พอกับค่าใช้จ่าย และได้รับคำแนะนำให้ลองปลูกมะละกอฮอลแลนด์ โดยร่วมกับเพื่อนอีก 2 คน อรวรรณ โพธิ์คำ และ ประสิทธิ์ ธรรมใจสุก โดยปราณีบอกว่า หลังจากที่ราคาลำไยในตลาดตกต่ำลง ทางเจ้าหน้าที่ของกรมวิชาการเกษตรก็เข้ามาให้ลองปลูกมะละกอฮอลแลนด์ทดแทนดู จากการที่ได้ฟังข้อมูลก็เห็นว่าน่าสนใจ เพราะเป็นพืชที่ให้ผลเร็ว อีกทั้งยังมีตลาดแน่นอน จึงตัดสินใจตัดต้นลำไยทิ้งไป 3 ไร่ เพื่อนำพื้นที่มาปลูกมะละกอฮอลแลนด์
มะละกอพันธุ์นี้มีอายุเก็บ เกี่ยว 8 เดือน น้ำหนักผลอยู่ที่ประมาณ 800-2,000 กรัมต่อผล เนื้อมีสีแดงอมส้ม ไม่เละ เนื้อหนา 2.5-3.0 เซนติเมตร ความหวานวัดได้ 11-13 องศาบริกซ์ ผลผลิตต่อต้น 60-80 กิโลกรัม มะละกอพันธุ์ฮอลแลนด์นี้สามารถปลูกได้เกือบทุกสภาพพื้นที่ ยกเว้นพื้นที่น้ำขัง ดินที่เหมาะสมควรมีความเป็นกรดเป็นด่าง 5.5-5.0
เกษตรกร ผู้ปลูกบอกว่า สำหรับการปลูกและการดูแลมะละกอพันธุ์ฮอลแลนด์ก็ไม่ยุ่งยาก เริ่มจากการเตรียมพื้นที่ โดยการไถและทำเป็นแปลงปลูก จากนั้นขุดหลุมให้ความลึกประมาณที่จะใส่ต้นพันธุ์ลงไปได้ โดยให้มีระยะปลูก 2.5x3 เมตร ซึ่งใน 1 ไร่จะสามารถปลูกต้นมะละกอได้ประมาณ 224 ต้น
ต้นพันธุ์นั้นปัจจุบันมีขายทั่วไป ราคาถุงเพาะละ 10 บาท โดยจะมีอยู่ 3 ต้นใน 1 ถุงเพาะ
เมื่อ เตรียมพื้นที่ปลูกเรียบร้อยแล้ว ก็ลงต้นพันธุ์หลุมละ 1 ถุงเพาะ แต่ก่อนที่จะลงต้นพันธุ์ในหลุม ให้ใส่ปุ๋ยคอกรองลงก้นหลุมประมาณ 1 ช้อนโต๊ะก่อน เมื่อลงปลูกเรียบร้อยก็ให้น้ำตามปกติ
การรดน้ำจะให้ตอน ที่ดูแล้วว่าที่โคนต้นมีความแห้งมากแล้ว เวลาให้ก็รดน้ำพอประมาณ ไม่ให้น้ำขังอยู่ที่โคนต้น ส่วนการใส่ปุ๋ยนั้นจะให้ประมาณเดือนละ 2 ครั้ง การให้ปุ๋ยจะต้องให้สลับกันระหว่างปุ๋ยคอกและปุ๋ยเคมี สูตร 15-15-15 ที่สำคัญต้องค่อยกำจัดวัชพืชที่ขึ้นรอบ ๆ บริเวณต้นมะละกอออกด้วย
หลัง จากที่ลงปลูกมะละกอไปได้ประมาณ 3 เดือน มะละกอทั้ง 3 ต้นที่อยู่ในหลุมเดียวกันจะเริ่มออกดอก ให้ทำการตัดต้นที่เป็นตัวผู้และตัวเมียทิ้ง เหลือไว้แต่ “ต้นกะเทย” เนื่องจากต้นกะเทยจะให้ผลที่ดก และลูกมะละกอที่ออกมาจะยาวสวย เนื้อหนากว่าต้นที่เป็นตัวเมียและตัวผู้ โดยการสังเกตต้นกะเทยนั้นก็ให้ทำการแหวกกลีบดอกดู ถ้าต้นไหนที่มีทั้งเกสรตัวเมียและตัวผู้อยู่ในดอกเดียวกัน...นั่นก็คือต้น กะเทย
เมื่อตัดเหลือแต่ต้นกะเทยแล้ว ก็ดูแลให้ปุ๋ยให้น้ำตามปกติไปอีกประมาณ 7-8 เดือน มะละกอก็จะให้ผลและเริ่มเก็บขายได้ ในระยะที่มะละกอติดผลอ่อน ก่อนเก็บให้ใส่ปุ๋ยสูตร 13-13-21 รอบ ๆ ต้น จำนวน 1 ช้อนโต๊ะต่อต้น การเก็บนั้น เลือกเก็บเฉพาะผลที่สุกประมาณ 5-10 เปอร์เซ็นต์ ผิวมีแต้มสีเหลืองเล็กน้อย
“หลังจากต้นมะละกออายุได้ 8 เดือนไปแล้ว ก็จะสามารถเก็บผลขายได้ทุกสัปดาห์ ไปจน 3 ปี ต้นมะละกอจึงจะหมดอายุ ไม่สามารถให้ผลผลิตได้ ต้องตัดทิ้ง ปลูกใหม่”
สำหรับผลผลิตที่เก็บ เกี่ยวได้นั้น ถ้าขายส่งให้โรงงาน ราคาตอนนี้จะอยู่ที่กิโลกรัมละประมาณ 6 บาท แต่ถ้านำไปขายตามตลาดเองก็จะได้กิโลกรัมละประมาณ 15 บาท ซึ่งเจ้าของสวนรายดังกล่าวบอกว่าตอนนี้มีรายได้จากการขายมะละกอต่อไร่ต่อ เดือนละประมาณ 10,000 บาท
เกษตรกรผู้ปลูกมะละกอขายรายนี้ อยู่ที่ ม.6 ต.วังธง อ.เมืองแพร่ จ.แพร่ ส่วนผู้ที่อยากรู้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับมะละกอพันธุ์ฮอลแลนด์ ลองสอบถามไปที่ “ศูนย์วิจัยพืชสวนแพร่” เบอร์โทรศัพท์ 0-5452-1387

บดินทร์ ศักดาเยี่ยงยงค์ :รายงาน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น