วันอาทิตย์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

กำลังเสือโคร่ง




ไม้ต้นนี้มีเขตการกระจายพันธุ์เฉพาะทางภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยเท่านั้น โดยจะมีขึ้นทั่วไปตามริมห้วยในป่าดิบที่อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 800-1000 เมตร ขึ้นไป ส่วนในต่างประเทศพบมีมากที่สุดที่ลาว ในอดีตต้นไม้ต้นนี้เป็นที่รู้จักกันดีในหมู่คนพื้นเมือง และชาวเขาที่เข้าไปเก็บของป่ามาขาย จะใช้มีดคมๆ ฟันหรือถากเอาเปลือกของต้น "กำลังเสือโคร่ง" ซึ่งมีกลิ่นหอมคล้าย "การะบูน" ไปขายให้ร้านยาไทยในเมืองหรือนำไปต้มน้ำรับประทานเองเป็นยาสมุนไพร บำรุงธาตุ บำรงกำลัง ทำให้เจริญอาหาร ขับลมในลำไส้ บำรุงเส้นเอ็นให้แข็งแรง และแก้ปวดเมื่อยตามร่างกายได้เด็ดขาดนัก จึงถูกตั้งชื่อว่า "กำลังเสือโคร่ง"

ปัจจุบันต้น "กำลังเสือโคร่ง" จัดเป็นไม้หายากอีกชนิดหนึ่งที่คนรุ่นใหม่น้อยคนนักจะรู้จัก หรือเคยพบเห็น "กำลังเสือโคร่ง" มีชื่อเรียกอีกคือ "กำลังพญาเสือโคร่ง" (เชียงใหม่)

ลักษณะทั่วไป เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ ต้นสูงได้เต็มที่ตั้งแต่ 10-25 เมตร ลำต้นเดี่ยว ตั้งตรง เนื้อไม้แข็ง กิ่งแขนงแตกเป็นพุ่มแน่น ทรงกลม เปลือกหนา สีน้ำตาลเทาหรือเกือบดำ มีต่อมระบายอากาศเป็นจุดเล็กๆยาวๆ กลมบ้างรีบ้างปะปนกันอยู่ เปลือกเมื่อใช้มีดถากออกมาจะมีกลิ่นหอมระเหยคล้าย "การะบูน" เวลาเปลือกแก่จะลอกออกเป็นชั้นๆคล้ายกระดาษ ที่ยอดอ่อนก้านใบและช่อดอกมีขนสีเหลืองหรือน้ำตาล ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับเป็นรูปไข่แกมรูปหอก ท้องใบมีตุ่ม โคนป้าน ขอบหยักแบบฟันเลื่อย 2 ชั้นหรือ 3 ชั้น

ดอก จะโดดเด่นเป็นพิเศษ สีขาวอมเหลือง ออกเป็นช่อแบบแยกเพศคนละช่อ แต่ละช่อประกอบด้วยดอกย่อยจำนวนมากและดูคล้าย "หางกระรอก" ออกตามง่ามใบ 3-5 ช่อ เป็นพวงยาว มีกลีบเลี้ยงรูปสามเหลี่ยม 5 กลีบ กลีบดอก5 กลีบรูปไข่กลับ มีเกสรตัวผู้ 5 อัน เกสรตัวเมีย 2 อัน เวลาดอกบานพร้อมกันจะสวยงาม

ผล เป็นรูปกลมแบนมีเนื้อและมีปีกบางโปร่งแสง 2 ข้าง ภายในมีเมล็ด ดอกจะออกเกือบตลอดทั้งปี

ขยายพันธุ์ ด้วยวิธีเพาะเมล็ดกับตอนกิ่ง

"กำลังเสือโคร่ง" นอกจากเปลือกจะมีประโยชน์แล้ว แก่นยังใช้ต้มน้ำดื่ม มีสรรพคุณเช่นเดียวกับเปลือก จึงเป็นไม้น่าปลูกประดับอีกต้นหนึ่งครับ

ดีปลี


ดีปลีเป็น เป็นพืชเดียวกันกับชะพลูและพลู กลิ่นหอมแนเป็นสิ่งคู่กันกับพืชในวงศ์นี้ เพราะมีน้ำมันหอมระเหยซ่อนอยู่ในใช ลำต้น และผลดีปลีนั้นจะว่าไปก็เหมือนพืชผักที่ไม่ค่อยมีคนรู้จักได้ยินแต่ชื่อว่าเป็นเครื่องเทศชนิดหนึ่ง แต่ต้น ผล ใบนั้นจะมีรูปร่างอย่างไรก็ไม่รู้

อย่าว่าแต่ต้นเลย ดีปลีที่เป็นเครื่องเทศแล้วก็คงมีไม่มากคนที่รู้จัก นอกจากคนที่ต้องใช้บ่อย ๆ

ตามพื้นที่ที่มีฝนตกชุก มีความชื้นสูง มักจะมีพืชในวงศ์ PIPERACEAE หรือวงศ์พริกไทย ขึ้นได้ดีมีมากมาย พืชในวงศ์นี้ก็ได้แก่พริกไทย ชะพลูและพลู ดีปลีของเราก็เป็นหนึ่งในสมาชิกวงศ์พืชดังกล่าวนี้ด้วย ดีปลีนั้นเติบโตได้ดีในทุกภาค ขอเพียงให้ชุ่มชื้น มีแดดเพียงร่มรำไร ดีปลีก็แตกดอกออกผลให้คนมาเก็บไปกิน และเก็บไปตากแห้งทำยา ทำเครื่องเทศปรุงรสปรุงกลิ่นอาหารให้น่ารับประทาน

ทางปักษ์ใต้เจ้าของอาหารรสจัดจ้านร้อนแรงก็ย่อมมีดีปลีเป็นส่วนประกอบ แต่ที่เด็ดขาดกว่าใครก็คือกินลูกอ่อนของดีปลีเป็นผักสด เข้าใจว่าเมื่อเป็นลูกอ่อนนั้นน่าจะรับประทานง่ายไม่ฉุนเท่าเมื่อเป็นเครื่องเทศ

เครื่องเทศที่ว่านั้นได้มาจากผลสุก นำมาตากแห้งใช้ประกอบกับแกงคั่ว แกงเผ็ด เพื่อดับกลิ่นคาวของเนื้อสัตว์ในอาหาร บางที่ก็นำมาแต่งกลิ่นผักดอง
ลักษณะทั่วไปของดีปลี
ถาดีปลีนั้นมีรากออกตามข้อสำหรับเกาะ และเลื้อยพัน เถาค่อนข้างเหนียวและแข็งมีข้อนูน แตกกิ่งก้านมาก ใบเป็นใบเดี่ยวออกสลับ ใบเป็นรูปไข่แกมขอบขนาน ปลายใบแหลม โคนใบมน ใบเป็นมัน

ดอก ออกเป็นช่อตรงข้ามกัน ลักษณะเป็นแท่ง ปลายเรียวมน ผลเล็ก กลม ฝังตัวกับช่อดอก

ผลอ่อนสีเขียว รสเผ็ด เมื่อสุกเป็นสีแดง
ดีปลีชอบความชื้นสูง หากฝนตกชุกก็เป็นที่ถูกใจ เพียงกิ่งแก่ ๆ มาปักชำรดน้ำฉ่ำ ชุ่ม พอรากงอกและต้นตั้งตัวได้ก็นำลงปลูกในแปลงที่เตรียมไว้ สำหรับหลักให้เลื้อยพันนั้นมักนิยมใช้เสาไม้ที่แข็งแรงหรือใช้เสาซีเมนต์ หรืออาจปล่อยให้ไต่ไปบนรั้ว กำแพงหรือต้นไม้อื่น ๆ ดีปลีนิสัยดี ไม่แย่งอาหารจากต้นไม้อื่น แต่ขออาศัยยึดเกาเฉย ๆ ใช้พื้นที่เพียงเล็กน้อยก็สามารถเป็นเจ้าของเถาดีปลีได้ หรือจะปลูกเป็นไม้ประดับชมใบสีเขียวสดดูชุ่มชื้น หรือดูผลที่เป็นสีเหลืองเมื่อจวนสุก แดงเมื่อสุกแล้ว พราวไปทั้งเถาที่เป็นที่นิยม


ประโยชน์ของดีปลี
ในผลสุกของดีปลีมีน้ำมันหอมระเหย ในน้ำมันของดีปลีตามการวิจัยของสถาบันการแพทย์แผนไทยบอกว่ามีฤทธิ์ฆ่าแมลงด้วงงวงและด้วงถั่ว ถ้าหากนำมาสกัดเป็นสารกำจัดแมลงสูตรจากธรรมชาติก็ไม่เลว

คุณประโยชน์ด้านสมุนไพรของดีปลีนั้นมากมายมหาศาล เริ่มตั้งแต่ลำต้นหรือเถา รสเผ็ดร้อน แก้ปวดฟัน จุกเสียด แก้ริดสีดวงทวาร ช่วยเจริญอาหาร ดอกนั้นรสเผ็ดร้อนขม แก้ท้องร่วง ขับลมในลำไส้ แก้หืดหอบ แก้ลม วิงเวียนปรุงเป็นยาธาตุ แก้ตับพิการ รากรสเผ็ดร้อนขม แก้หืดหอบ แก้ลมวิงเวียน แก้เสมหะ แก้ปวดท้อง บำรุงธาตุ แก้เส้นอัมพฤกษ์ อัมพาต

ดอกแก่ต้มน้ำดื่มแก้ ท้องอืดท้องเฟ้อและช่วยให้หายวิงเวียน ส่วนหากจะแก้ไข ให้ใช้ดอกแก่แห้งครึ่งกำมือฝนกับน้ำมะนาว กวาดคอหรือจิบบ่อย ๆ

คุณประโยชน์หลายสถานนี่เอง ดีปลีจึงมีชื่ดีตั้งแต่ชื่อจนถึงต้นเถา
===========================================

สมุนไพร ที่ใช้ๆ กันอยู่นั้น โดยมากมักจะมีชื่อเรียกหลายชื่อ ชื่อบางชื่อจะมีนัยบ่งบอกถึงลักษณะของสมุนไพรชนิดนั้นๆ บางชื่อก็จะมีนัยถึงสรรพคุณของมัน

อย่างเช่นดีปลี ในทางอายุรเวทเรียกว่าปีปปะลี (Pippali)ซึ่งมีความหมายว่า สิ่งที่ช่วยปกป้องและเพิ่มเติม อันมีนัยถึงคุณค่าในทางยาที่ช่วยปกป้องจากความเจ็บป่วย และเติมสุขภาพที่ดีให้ร่างกาย นอกจากนี้ดีปลียังมีชื่อเรียก อื่นๆ อีกหลายชื่อ เช่น กฤษณะ (Krshna) ซึ่งแปลว่า ดำ บ่งบอกถึงดอกสีดำของดีปลีหรือจะแปลว่าชะล้างออก ก็ได้ บอกถึงสรรพคุณในการชะล้างความเจ็บป่วยจากร่างกายเรา ดีปลี ถือเป็นสมุนไพรตัวสำคัญตัวหนึ่งที่ใช้ในทาง อายุรเวทมาแต่โบร่ำโบราณ

ในคัมภรีร์ อายุรเวท ที่อธิบายเกี่ยวกับยาสมุนไพร บรรยายเกี่ยวกับดีปลี ว่ามีรสเผ็ดร้อน มีคุณสมบัติเบา (หมายถึง ย่อยง่าย) ชุ่มชื้น มีสรรพคุณช่วยย่อยอาหาร ขับลม แก้ไข้ อีกทั้งยังเป็นยาอายุวัฒนะ และบำรุงร่างกาย ที่ดีอีกด้วย

ออกฤทธิ์กระตุ้นการทำงานของระบบย่อยอาหารและระบบหายใจได้ดี จึงถูกจัดเป็นตัวยาสำคัญตัวหนึ่ง ในตำรับยาหลายขนานที่ใช้แก้ปัญหาเรื่องกระเพาะลำไส้ เช่น อาหารไม่ย่อย มีลมในกระเพาะมาก ท้องอืดเฟ้อ รวมทั้งเป็นตัวยาสำคัญในตำรับยาแก้โรคเกี่ยวกับระบบหายใจ เช่น แก้หวัด หอบหืด หลอดลมอักเสบ ไม่นับโรคเรื้อรังอย่างเช่น ข้ออักเสบ โรคเก๊าท์ ไข้รูมาตอยด์ เป็นต้น

ในเมืองไทยนั้น คนส่วนใหญ่จะรู้จักดีปลีว่า เป็นตัวยาตัวหนึ่งในตำรับยาที่เปรียบเสมือนสามทหารเสือ ที่เรียกว่า ตรีกฏุ ซึ่งประกอบด้วยสมุนไพรสามชนิด คือ พริกไทย ดีปลี และขิงแห้ง อาจเป็นไปได้ที่ไทยเราได้ ตำรับยาตรีกฏุนี้มาจากอายุรเวทของอินเดียเช่นกัน เพราะยาตรีกุฏนั้นถือเป็นยาตำรับคลาสสิคของอายุรเวทเลยก็ว่า ได้ คำว่าตรีกุฏในภาษาสันสกฤตมีความหมายว่า สิ่งที่มีรสเผ็ดร้อนสามชนิด ซึ่งก็คือ ตัวยาสามตัวในตำรับที่ว่านั่น เอง

ยา ตำรับนี้มีสรรพคุณช่วยบำรุงไฟธาตุ หรือช่วยทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น ทั้งยังช่วยย่อยสลาย สารอาหารตกค้าง ที่ร่างกายย่อยสลาย และดูดซึมไม่ได้ แล้วไปสะสมอยู่ตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย ซึ่งจะกลายเป็นบ่อเกิดของความเจ็บป่วยได้ หากสารอาหารตกค้างที่ว่านี้ สะสมในร่างกายมากๆ ยาตรีกฏุมีสรรพคุณช่วยย่อยสารอาหารตกค้างที่ว่านี้ได้ แถมยังช่วยให้ร่างกายดูดซึมอาหารรวมทั้งยาที่เรากินเข้าไปได้ดีขึ้น

นอกจากดอกดีปลีที่ เรารู้จักดีแล้ว ในอินเดียยังแนะนำให้ใช้รากดีปลีด้วยเช่นกัน และมีข้อแนะนำว่าควรใช้ดอกดีปลีแห้งที่เก็บไว้ประมาณหกเดือนถึงหนึ่งปี หากนานกว่านั้นสรรพคุณจะเสื่อมลง

เราสามารถใช้ ประโยชน์จากดีปลี ในการปรุงยาเข้ายาอีกหลายขนานที่จะช่วยดูแล บำบัดปัดเป่าโรคและอาการเจ็บป่วยให้พอทุเลาลงได้ดังต่อไปนี้

1. ใช้ดอกดีปลีล้าง ให้สะอาด บดหรือตำพอหยาบๆ ครึ่งแก้ว ว ต้มกับน้ำสี่แก้ว ต้มให้เหลือน้ำหนึ่งแก้ว จากนั้นกรองเอาแต่น้ำยา กินวันละ 2 ครั้ง ขณะท้องว่าง ช่วยแก้ไข้เรื้อรังหรือไข้ที่เป็นๆ หายๆ และยังช่วยลดอาการม้ามโตด้วย
2. ใช้ดอกดีปลี 20 กรัม ต้มรวมกับนม 200 ซีซี และน้ำ 800 ซีซี ต้มให้เหลือ 200 ซีซี จากนั้นกรองเอากากทิ้ง เมื่อยาเย็นแล้วให้กินร่วมกับน้ำผึ้ง จะช่วยบรรเทาโรคเกี่ยวกับหัวใจ แก้ไอ และไข้ขึ้นๆ ลงๆ ได้
3. ผู้ที่มีปัญหา เรื่องริดสีดวงทวาร โดยมีอาการคันร่วมด้วย ขอแนะนำให้กินเมล็ดงาดำ(ดิบ) 20 กรัมผสมรวมกับดอกดีปลี 10 ดอก บดให้ละเอียดกินร่วมกับนมหนึ่งแก้ว วันละ 1 ครั้ง กินนานประมาณ 15 วัน
4. คนที่มีปัญหาเรื่องท้องอืด ไอ กระเพาะลำไส้อักเสบ หากกินผงดีปลีผสมน้ำผึ้งบ่อยๆ จะช่วยบรรเทาอาการดังกล่าวได้
5. ผงดีปลีและผงสมอไทยอย่างละ 5 กรัม ผสมให้เข้ากันดี กินกับน้ำอุ่น 1 แก้ว วันละ 2 ครั้ง ช่วยลดอาการ เสียงแห้งได้
6. ผงดีปลี 1 ส่วน ลูกเกด(สีดำ) บดให้ละเอียด 2 ส่วน น้ำตาลทรายแดง 3 ส่วน เคี่ยวรวมกันและคนให้เข้ากันดี เคี่ยวจนยาเหนียวข้นดีแล้วเก็บใส่ภาชนะสะอาด กินครั้งละ 2 ช้อนโต๊ะ เป็นยาบำรุงโดยเฉพาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบหายใจ

ปลูกมะละกอ’ขาย ‘พันธุ์ฮอลแลนด์’มาแรง

มะละกอ เป็นอีกผลไม้ที่ได้รับความนิยมจากคนไทย ทั้งรับประทานแบบผลสุกหรือใช้ผลดิบทำเป็นส้มตำ ตลาดของมะละกอจึงกว้าง ขณะที่การปลูกขายนั้นสามารถปลูกแซมกับพืชหลักที่ปลูกอยู่แล้วก็ได้ หรือจะปลูกเป็นพืชหลักเพื่อจำหน่ายก็ไม่เลว และ “มะละกอพันธุ์ฮอลแลนด์” ก็อาจเป็น “ช่องทางทำกิน” ที่ดี...
จ.แพร่ พื้นที่ภาคเหนือตอนบน มีการปลูกส้มและลำไยเป็นพืชเศรษฐกิจมานาน แต่ปัจจุบันเกษตรกรประสบปัญหาเรื่องราคาผลผลิตตกต่ำ ไม่คุ้มค่าต่อการลงทุน เกษตรกรหลายรายต้องกู้หนี้ยืมสินมาทำการเกษตร ทำให้มีรายได้ไม่เพียงพอต่อค่าใช้จ่าย ดังนั้น ทาง ศูนย์วิจัยพืชสวนแพร่ กรมวิชาการเกษตร จึงได้สนับสนุนให้เกษตรกรปลูกพืชที่ให้ผลผลิตเร็วทดแทน เพื่อให้ได้รายได้เร็วที่สุด และ “มะละกอพันธุ์ฮอลแลนด์” ก็เป็นพืชทางเลือกหนึ่งที่ให้ผลผลิตเร็ว สามารถปลูกแซมในสวนส้มและสวนลำไยเก่าได้ทันที
มะละกอพันธุ์ฮอลแลนด์ เป็นมะละกอพันธุ์ใหม่ที่มาแรงและกำลังได้รับความนิยมในขณะนี้ ซึ่งมีลักษณะเด่นคือ ไม่มีกลิ่นยาง เนื้อหนา รสหวาน เปลือกหนา ทนทานต่อโรค ทนทานต่อการขนส่ง
ปราณี กาใจ เป็นเจ้าของสวนลำไยที่ประสบปัญหาราคาผลผลิตตกต่ำ รายได้ไม่พอกับค่าใช้จ่าย และได้รับคำแนะนำให้ลองปลูกมะละกอฮอลแลนด์ โดยร่วมกับเพื่อนอีก 2 คน อรวรรณ โพธิ์คำ และ ประสิทธิ์ ธรรมใจสุก โดยปราณีบอกว่า หลังจากที่ราคาลำไยในตลาดตกต่ำลง ทางเจ้าหน้าที่ของกรมวิชาการเกษตรก็เข้ามาให้ลองปลูกมะละกอฮอลแลนด์ทดแทนดู จากการที่ได้ฟังข้อมูลก็เห็นว่าน่าสนใจ เพราะเป็นพืชที่ให้ผลเร็ว อีกทั้งยังมีตลาดแน่นอน จึงตัดสินใจตัดต้นลำไยทิ้งไป 3 ไร่ เพื่อนำพื้นที่มาปลูกมะละกอฮอลแลนด์
มะละกอพันธุ์นี้มีอายุเก็บ เกี่ยว 8 เดือน น้ำหนักผลอยู่ที่ประมาณ 800-2,000 กรัมต่อผล เนื้อมีสีแดงอมส้ม ไม่เละ เนื้อหนา 2.5-3.0 เซนติเมตร ความหวานวัดได้ 11-13 องศาบริกซ์ ผลผลิตต่อต้น 60-80 กิโลกรัม มะละกอพันธุ์ฮอลแลนด์นี้สามารถปลูกได้เกือบทุกสภาพพื้นที่ ยกเว้นพื้นที่น้ำขัง ดินที่เหมาะสมควรมีความเป็นกรดเป็นด่าง 5.5-5.0
เกษตรกร ผู้ปลูกบอกว่า สำหรับการปลูกและการดูแลมะละกอพันธุ์ฮอลแลนด์ก็ไม่ยุ่งยาก เริ่มจากการเตรียมพื้นที่ โดยการไถและทำเป็นแปลงปลูก จากนั้นขุดหลุมให้ความลึกประมาณที่จะใส่ต้นพันธุ์ลงไปได้ โดยให้มีระยะปลูก 2.5x3 เมตร ซึ่งใน 1 ไร่จะสามารถปลูกต้นมะละกอได้ประมาณ 224 ต้น
ต้นพันธุ์นั้นปัจจุบันมีขายทั่วไป ราคาถุงเพาะละ 10 บาท โดยจะมีอยู่ 3 ต้นใน 1 ถุงเพาะ
เมื่อ เตรียมพื้นที่ปลูกเรียบร้อยแล้ว ก็ลงต้นพันธุ์หลุมละ 1 ถุงเพาะ แต่ก่อนที่จะลงต้นพันธุ์ในหลุม ให้ใส่ปุ๋ยคอกรองลงก้นหลุมประมาณ 1 ช้อนโต๊ะก่อน เมื่อลงปลูกเรียบร้อยก็ให้น้ำตามปกติ
การรดน้ำจะให้ตอน ที่ดูแล้วว่าที่โคนต้นมีความแห้งมากแล้ว เวลาให้ก็รดน้ำพอประมาณ ไม่ให้น้ำขังอยู่ที่โคนต้น ส่วนการใส่ปุ๋ยนั้นจะให้ประมาณเดือนละ 2 ครั้ง การให้ปุ๋ยจะต้องให้สลับกันระหว่างปุ๋ยคอกและปุ๋ยเคมี สูตร 15-15-15 ที่สำคัญต้องค่อยกำจัดวัชพืชที่ขึ้นรอบ ๆ บริเวณต้นมะละกอออกด้วย
หลัง จากที่ลงปลูกมะละกอไปได้ประมาณ 3 เดือน มะละกอทั้ง 3 ต้นที่อยู่ในหลุมเดียวกันจะเริ่มออกดอก ให้ทำการตัดต้นที่เป็นตัวผู้และตัวเมียทิ้ง เหลือไว้แต่ “ต้นกะเทย” เนื่องจากต้นกะเทยจะให้ผลที่ดก และลูกมะละกอที่ออกมาจะยาวสวย เนื้อหนากว่าต้นที่เป็นตัวเมียและตัวผู้ โดยการสังเกตต้นกะเทยนั้นก็ให้ทำการแหวกกลีบดอกดู ถ้าต้นไหนที่มีทั้งเกสรตัวเมียและตัวผู้อยู่ในดอกเดียวกัน...นั่นก็คือต้น กะเทย
เมื่อตัดเหลือแต่ต้นกะเทยแล้ว ก็ดูแลให้ปุ๋ยให้น้ำตามปกติไปอีกประมาณ 7-8 เดือน มะละกอก็จะให้ผลและเริ่มเก็บขายได้ ในระยะที่มะละกอติดผลอ่อน ก่อนเก็บให้ใส่ปุ๋ยสูตร 13-13-21 รอบ ๆ ต้น จำนวน 1 ช้อนโต๊ะต่อต้น การเก็บนั้น เลือกเก็บเฉพาะผลที่สุกประมาณ 5-10 เปอร์เซ็นต์ ผิวมีแต้มสีเหลืองเล็กน้อย
“หลังจากต้นมะละกออายุได้ 8 เดือนไปแล้ว ก็จะสามารถเก็บผลขายได้ทุกสัปดาห์ ไปจน 3 ปี ต้นมะละกอจึงจะหมดอายุ ไม่สามารถให้ผลผลิตได้ ต้องตัดทิ้ง ปลูกใหม่”
สำหรับผลผลิตที่เก็บ เกี่ยวได้นั้น ถ้าขายส่งให้โรงงาน ราคาตอนนี้จะอยู่ที่กิโลกรัมละประมาณ 6 บาท แต่ถ้านำไปขายตามตลาดเองก็จะได้กิโลกรัมละประมาณ 15 บาท ซึ่งเจ้าของสวนรายดังกล่าวบอกว่าตอนนี้มีรายได้จากการขายมะละกอต่อไร่ต่อ เดือนละประมาณ 10,000 บาท
เกษตรกรผู้ปลูกมะละกอขายรายนี้ อยู่ที่ ม.6 ต.วังธง อ.เมืองแพร่ จ.แพร่ ส่วนผู้ที่อยากรู้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับมะละกอพันธุ์ฮอลแลนด์ ลองสอบถามไปที่ “ศูนย์วิจัยพืชสวนแพร่” เบอร์โทรศัพท์ 0-5452-1387

บดินทร์ ศักดาเยี่ยงยงค์ :รายงาน

ไม้ยมหอม

ชื่อพื้นเมือง ยมฝักดาบ (ภาคเหนือ) เล้ย (กระเหรี่ยง กาญจนบุรี) สะเดาดง (กาญจนบุรี) สีเสียดหอม (พิษณุโลก) สีเสียดอ้ม (ไทย)

ชื่อวิทยาศาสตร์ Toona Ciliata M.Roem [Cedrela toona Roxb.]
ชื่อการค้า Mouimein Cear, Cigar-Box, Toona, Indian Mahogany

ลักษณะทั่วไป

เป็น ไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ สูงประมาณ 20 เมตรขึ้นไป โตเร็ว ลำต้นเปลาตรง สูงชะลูด เรือนยอดเป็นพุ่มกลมทึบ เปลือกหนา สีเทาปนดำ แตกเป็นร่องลึก ตามความยาวของ ลำต้นมีรูระบายอากาศทั่วไป ไม่มีกิ่งก้านรอบลำต้น นอกจากบริเวณเรือนยอด ใบ เป็นใบประกอบช่อยาว ใบย่อยรูปมนแกมรูปไข่ หรือรูปดาบออกตรงข้ามหรือเยื้องกันเล็กน้อย ยอดใบเรียวแหลม

ดอก มีขนาดเล็ก สีขาวหรือเหลืองอ่อน ออกรวมกันเป็นช่อยาว ๆ ตามง่ามใบ ตอนปลาย ๆ กิ่ง

ผล มีขนาดเล็ก กลมรี ๆ อุ้มน้ำ ผลแก่สีเหลือง เมื่อแก่จัดจะแตกและติดเมล็ด ที่มีปีกให้หลุดปลิวไปตามลมได้ไกล ๆ

การกระจายพันธุ์ตามธรรมชาติ
มี การกระจายพันธุ์อยู่ในป่าดงดิบและป่าเบญจพรรณชื้นทั่วไป โดยเฉพาะ ตอนเหนือของประเทศไทย มักจะพบแถบริมแม่น้ำ ลำธาร หุบเขาที่มีความชื้นสูง

การเก็บเมล็ด
ควร เก็บระหว่างเดือนมีนาคม-เมษายน (ทั่วไป) ในบางพื้นที่ผลจะแก่เร็วกว่านี้ เช่น ที่ลุ่มน้ำแม่ตะละ จ.เชียงใหม่ จะเก็บผลได้ในเดือนมกราคม-มีนาคม ควรเก็บผลตอนมีสีเขียวอมน้ำตาล ก่อนที่เมล็ดจะหลุดปลิวไปก่อน ตัดช่อผลนำมาผึ่งแห้งใต้ร่ม เมื่อนำเมล็ดมาเพาะจะงอกได้ในเวลา 7-10 วัน ในขณะที่เมล็ดที่ได้จากการตากกลางแดดจะงอกได้ในเวลา 30-45 วัน เมล็ด 1 กก. จะมีจำนวนประมาณ 350,000 เมล็ด ควรเพาะเมล็ดทันทีหลังจากเก็บได้ จะมีอัตราการงอกเฉลี่ยประมาณ 85% ถ้าเก็บไว้ในภาชนะที่ปิดสนิท ที่อุณหภูมิต่ำกว่า 15 องศาเซลเซียส จะเก็บไว้ได้นานประมาณ 6 เดือน เมล็ดที่เก็บไว้ในสภาพนี้อายุ 1 ปี จะงอกได้เพียงประมาณ 20% เท่านั้น
การเพาะ

ควร ใช้เมล็ดที่เก็บมาได้ใหม่ ๆ เพาะในกะบะทราย กลบเมล็ดด้วยทราย อีกครั้งหนึ่ง บาง ๆ ป้องกันเมล็ดหลุดลอย ไประหว่างการให้น้ำ ควรให้น้ำวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น แต่อย่าให้แฉะเพราะจะเกิดโรคเน่าคอดินได้ง่าย กล้าไม้อายุ 1 เดือน จะสูงประมาณ 3-5 ซม. พร้อมที่จะย้ายปลูกภาคสนามได้

ในระยะกล้าไม้อาจเกิดโรคเน่าคอดิน [Damping-off] ได้ง่าย หากให้น้ำมาก เกินไป นอกจากนั้นจะพบโรคราสนิม [Rust] เกาะกินและทำลายใบกล้า ไม้ยมหอมเสมอ ๆ กล้าไม้อายุ 1 ปีขึ้นไป สามารถผลิตเหง้า [Stump] สำหรับย้ายปลูกได้

การปลูก
ไม่ ควรปลูกเป็นสวนป่าผืนใหญ่ เพราะแมลงที่เจาะยอด คือ พวก Hypsipyla spp. จะระบาดได้รวดเร็วในแปลงปลูกยมหอม โดยเจาะยอดอ่อน ให้ยอดอ่อน แห้งตายและแตกหน่อใหม่ออกมาเป็นพุ่ม ทำให้ต้นไม้ที่ปลูกแตกกิ่งก้าน สาขามาก รูปทรงไม่ดี

ใน รัฐซาบาห์ ประเทศมาเลเซีย ได้ทำการศึกษาทดลองหามาตรการป้องกัน หนอนเจาะทำลายยอดต้นมะฮอกกานี [Swietenia macrophylla] โดยการปลูกไม้อื่นผสมและการปลูกไม้ในตระกูล Mellaceae เป็นเหยื่อล่อแมลง เรียกว่า Balt species พบว่าแมลง Hypsipyla จะเจาะยอดต้นยมหอมมากที่สุด จึงทำการปลูก ยมหอมเป็นแถบรอบ ๆ แปลงปลูกมะฮอกกานี ให้แมลงพวกนี้ หันเหความสนใจไปทำลายยมหอมแต่เพียงอย่างเดียว แสดงให้เห็นว่า ยมหอมเป็นพันธุ์ไม้ที่แมลงเจาะยอด Hypsipyla เจาะทำลายมากที่สุด

ด้วย เหตุผลดังกล่าว จึงไม่ควรสนับสนุนให้ปลูกต้นยมหอม เป็นสวนป่า แปลงใหญ่มาก เกษตรกรสนใจควรแนะนำให้ปลูกผสมร่วมกับไม้อื่น ๆ เช่น สะเดาเทียม [Azadirachta excelsa] ในภาคใต้หรือสะเดา [Azadirachta siamensis] ในภาคอื่น ๆ หรือปลูกยมหอมแทรก ในพืชสวนอื่น ๆ ก็ได้ แต่ไม่ขอแนะนำให้ปลูกเป็นสวนป่าชนิดเดียว

ใน สภาพที่ไม่ถูกแมลงเจาะยอดทำลาย ต้นยมหอมที่ปลูกแทรกระหว่างไม้อื่น ภายใต้สภาวะแวดล้อมที่อำนวยให้จะเจริญเติบโตเร็วพอ ๆ กับไม้สัก คือ ในระยะ 10 ปี อาจมี เส้นผ่าศูนย์กลางระดับอกได้ถึง 15-20 ซม.

ใน พื้นที่ซึ่งมีความชื้นสูง หรือฝนตกชุกเกินกว่า 1,800 มม./ปี ต้นยมหอมอายุ 10 ปี อาจโตถึง 30 ซม.ได้ ดินที่ต้นยมหอมขึ้นได้ดี คือ ดินร่วนปนทราย ดินลึก มีอินทรีย์วัตถุสูง pH ประมาณ 55-70 ต้นยอมหอมขึ้นได้ ทั้งในพื้นที่ราบ และที่สูงในระดับความสูงจากน้ำทะเลประมาณ 1,200 เมตร
ประโยชน์

ไม้ ใช้ทำกระดานฝา เพดาน หีบบุหรี่ โครงอานม้า เครื่องแกะสลัก ฝักดาบ ทำไม้อัดได้ดี เครื่องดนตรี ตุ๊กตา กระเบื้องไม้ แจว พาย กรรเชียง ไม้บุผนังที่สวยงาม ทำเรือยนต์แข่ง ทำเครื่องเล่น ด้ามแล็กเก็ต กลอง เครื่องดนตรีที่ใช้สาย ทำหีบใส่ของที่ดี หีบศพ หีบชา หีบดินปืน พานท้ายและรางปืน ลักษณะคล้ายไม้สุเหรียนทางภาคใต้ใช้แทนกันได้

เปลือก มียางไม้ที่เรียกว่า น้ำฝาด ใช้เป็นยาสมุนไพรสมานแผล และห้ามเลือด แก้ไข้และใส่แผล นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติต่อต้านเชื้อโรคเชื้อราบางชนิดอีกด้วย

ดอก ใช้เป็นยาขับระดู

ลักษณเนื้อไม้
สีแดงอ่อนถึงสีอิฐแก่ เป็นมันเลื่อม มีกลิ่นหอม เสี้ยนตรง และสม่ำเสมอ เหนียว อ่อน ใช้ในร่มทน เลื่อยไสกบตกแต่งง่าย ขัดชักเงาได้งาม

* ความถ่วงจำเพาะ ประมาณ 0.53
* กลสมบัติ เนื้อไม้มีความแข็ง ประมาณ 398 กก.
* ความแข็งแรง ประมาณ 869 กก./ตร.ซม.
* ความดื้อ ประมาณ 83,800 กก./ตร.ซม.
* ความเหนียว ประมาณ 1.89 กก./ตร.ซม.

การ ผึ่งและอบไม้ ผึ่งให้แห้งด้วยกระแสอากาศได้ค่อนข้างยาก มักมีการแตกร้าวที่ปลายไม้ การผึ่งไม้ขนาด 2x2.5 นิ้ว ให้แห้ง อาจใช้เวลานานถึง 1 ปี การอบให้แห้งได้ยากปานกลาง เมื่ออบแห้งแล้วสีจะเข้มขึ้น ความทนทานทางธรรมชาติ ตั้งแต่ 4-11 ปี เฉลี่ยโดยประมาณ 6.1 ปี

ติดต่อสวนสมสุข จ.เชียงราย

มือถือ: 08-1531-7043, 08-7575-9863

วันเสาร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ขายปุ๋ยอินทรีย์มูลค้างคาวเกรด A เจริญโอสถฯ


ขายปุ๋ยอินทรีย์มูลค้างคาวเกรด A เจริญโอสถฯ และ"ไคโตซาน"นาโนเทคโนโลยี รับสมัครตัวแทนจำหน่ายทำธุรกิจ แจก VCD ปุ๋ยฟรี!


ขายและรับสมัครตัวแทนจำหน่ายปุ๋ยอินทรีย์ ทั้งแบบเม็ดและแบบน้ำ ของบริษัทเจริญโอสถฯ ยี่ห้อ เจริญอินทรีย์ภัณฑ์สูตรมูลค้างคาว
เป็นบริษัทเดียวที่เซ็นสัญญากับบริษัทอินเตอร์ อโกรเทค Inter Agro Tech(Thailand) Co.,Ltd ตั้งอยู่ที่ จ.กำแพงเพชร
ที่ ได้สัมปทานจากรัฐบาลขุดมูลค้างคาวจากถ้ำ เขาหน่อ-เขาแก้ว แถบนครสวรรค์-กำแพงเพชร ไม่ใช่มูลค้างคาวในป่าทั่วไป เพื่อนำมาเป็นวัตถุดิบทำปุ๋ยมูลค้างคาวทำให้มีฮิวมัสสูงกว่าปุ๋ยทั่วไปมาก ไร้สารเคมีเป็นอินทรีย์ 100% ให้ธาตุอาหารครบ 13 ชนิดที่พืชต้องการคือ
N,P,K,Ca,Mg,S,Fe,Zn,Cu,Mn,B,Mo,Cl และมีค่าอินทรีย์วัตถุ OM (Organic Matter) ที่ประมาณ 66 % มากกว่าที่กฎหมายกำหนดขั้นต่ำที่ 30% ผลิตด้วยเครื่องจักรควบคุมด้วยคอมพิวเตอร์ มาตราฐานส่งออกญี่ปุ่น
และปุ๋ยมูลค้างคาวที่บริษัทอินเตอร์ อโกรเทค ผลิตส่งออกญี่ปุ่นและผลิตให้บริษัทเจริญโอสถฯ ขายเป็นเกรดเดียวกัน
สนใจทดลองซื้อไปใช้ รับประกันได้ว่าดีจริง ๆ ราคาสมาชิก 365 บาทต่อลูก ลูกล่ะ 25 กิโกกรัม ใช้ได้ 1 ไร่ต่อลูก
ถ้าสั่ง 1 ตัน(40 ลูกหรือใช้ได้ 40 ไร่) ราคา 14,000 บาท
(ปุ๋ยอินทรีย์ทั่วไปราคาอยู่ที่ 300-1000 บาท ปุ๋ยเคมีทั่วไปราคาอยู่ที่ 900-1400 บาท )
และยังมีปุ๋ยอินทรีย์สูตรธรรมดาคุณภาพสูง และปุ๋ยน้ำอินทรีย์ต่าง ๆ อีกหลายสูตร ครบวงจร

และยังมี "ไคโตซาน" บริสุทธิ์แท้ 100% ไคโตซานมีหลายยี่ห้อทั่วประเทศ แต่ของเจริญโอสถฯ สกัดโดยใช้นาโนเทคโนโลยีเจ้าเดียวในประเทศ
ช่วยให้ได้ผลเร็วกว่าเพราะอนุภาคมีขนาดเล็กกว่า ทำให้พืชและดินดูดซึมได้เร็ว และสูญเสียน้อยกว่าไคโตซานธรรมดา ๆ
สินค้าปุ๋ยและเกษตรของบริษัทเจริญโอสถฯ ขายในระบบขายตรงเครือข่าย ใครสนใจสมัครสมาชิกกับผมเพื่อนำไปขายได้ครับ
ถ้าท่านอยู่ต่างจังหวัด ผมจะประสานงานติดต่อที่ศูนย์กรุงเทพในเรื่องต่าง ๆ ให้ ถ้าอยู่กรุงเทพก็ยินดีมาร่วมกันทำงาน ทำตลาดได้
มี อะไรช่วยเหลือได้ตลอดเวลา เพราะมีทีมงานช่วยประสานงานให้เป็น ธุรกิจที่ทำง่ายยอดขายปุ๋ยภาคใต้เป็นอันดับหนึ่ง และเป็นบริษัทที่มีอัตราการเติบโต
สูงที่สุดในภาคใต้เวลานี้ ตอนนี้กำลังขยายงานไปทั่วประเทศ มีวิทยากร นักวิชาการมาทำงานให้บริษัทเป็นที่ปรึกษาให้สมาชิกตลอด
ท่านใดเห็นโอกาสทางธุรกิจทางเกษตรหรือทำไร่ ทำสวน มีญาติพี่น้องเป็นเกษตร สามารถแนะนำปุ๋ยอินทรีย์ครบวงจรที่ดีสุดยอดได้

วันพุธที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ในนามของความห่วงใย


เนื้อเพลง ในนามของความห่วงใย

เสถียร ทำมือ - ในนามของความห่วงใย
คำร้อง / ทำนอง ชนะ เสวิกุล
เรียบเรียง ศิลาแลง อาจสาลี
06. ในนามของความห่...


เพราะว่าคราบน้ำตาของเธอบอกฉัน
คืนและวันของเธอทุกข์ทนเท่าไร
รับรู้ความเจ็บช้ำผ่านคำที่เธอระบาย
เขาไม่แคร์แม้มอบทุกอย่างให้เขา

ในสายตาของคนนอกวงอย่างฉัน
เพียงเสียดายใจเธอที่มันสูญเปล่า
ทำได้เพียงปลอบใจจับมือเธอไว้เบาๆ
ให้ความปวดร้าวของเธอระบายถึงกัน

อยากจะถามในนามของความห่วงใย
เหนื่อยบ้างไหมที่ทุ่มทำไปอย่างนั้น
ฉันพอจะทำอะไรให้เธอหายทรมาน
ก็อยากจะทำให้เธอสบายใจ

แม้วันนี้หัวใจของเธออ่อนล้า
เอาน้ำตาเธอมาซับที่หัวไหล่
แบ่งความเจ็บกับฉันอย่าคิดว่าเป็นคนไกล
รู้ใช่ไหมฉันยินดีทำเพื่อเธอ

อยากจะถามในนามของความห่วงใย
เหนื่อยบ้างไหมที่ทุ่มทำไปอย่างนั้น
ฉันพอจะทำอะไรให้เธอหายทรมาน
ก็อยากจะทำให้เธอสบายใจ

แม้วันนี้หัวใจของเธออ่อนล้า
เอาน้ำตาเธอมาซับที่หัวไหล่
แบ่งความเจ็บกับฉันอย่าคิดว่าเป็นคนไกล
รู้ใช่ไหมฉันยินดีทำเพื่อเธอ

แบ่งความเจ็บกับฉันอย่าคิดว่าเป็นคนไกล
รู่ใช่ไหมฉันยินดีทำเพื่อเธอ

วันอังคารที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2552

การใช้แหนแดงในนาข้าว



แหนแดง ( Azolla ) เป็นเฟิร์นน้ำเล็กๆ ชนิดหนึ่งเจริญเติบโตลอยอยู่ใต้ผิวน้ำในเขตร้อนและเขตอบอุ่น โดยจะดำรงชีวิตแบบพึ่งพาอาศัยกันกับสาหร่ายสีเขียวแก้มน้ำเงินที่สามารถตรึงไนโตรเจนได้แหนแดงถูกใช้เป็นปุ๋ยในนาข้าว และใช้เป็นอาหารสัตว์เลี้ยง เช่น สุกร เป็ด และห่าน เนื่องจากแหนแดงมีโปรตีน ไขมัน และแร่ธาตุต่างๆ เป็นองค์ประกอบอยู่มาก และมีกรดอะมิโนจำเป็น ( essential amino acid ) ในปริมาณที่สูงพอเพียงต่อการเจริญเติบโตของปลา จึงเหมาะที่จะเลี้ยงปลาในนาข้าวที่มีแหนแดงอยู่ด้วย

ประโยชน์ของแหนแดง :
แหนแดงมีคุณสมบัติเป็นทั้งปุ๋ยพืชสด และปุ๋ยชีวภาพเนื่องจากในใบของแหนแดงมีสาหร่ายสีเขียวแก้มน้ำเงิน ( blue green algae ) ชื่อ Anabaena azollae อาศัยอยู่โดยดำรงชีวิตอยู่ร่วมกันกับแหนแดงแบบพึ่งพาอาศัยกัน สามารถตรึงไนโตรเจนจากอากาศได้ความสัมพันธ์นี้ ทำให้แหนแดงกลายเป็นปุ๋ยพืชสดที่สำคัญ และมีศักยภาพสูงที่สามารถนำมาใช้ในระบบเกษตรพอเพียง เพื่อร่วมกับการปลูกข้าวทดแทนการใช้ปุ๋ยเคมีไนโตรเจน นอกจากนี้ยังสามารถลดการเจริญเติบโตของวัชพืชในนาข้าวเป็นอย่างดี

การขยายพันธุ์ทำได้ 2 วิธี คือ
1. การขยายพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศ โดยการแตกหน่อ เมื่อต้นมีการเจริญเติบโตเต็มที่แล้ว
2. การขยายพันธุ์แบบอาศัยเพศ โดยการสร้างสปอร์สืบพันธุ์เพศผู้ และเพศเมีย

สายพันธุ์ของแหนแดง : ที่ใช้ในนาข้าว
1. Azolla filiculoides
2. Azolla pinnata
3. Azolla critata
4. Azolla rubra
5. Azolla nilotica

วิธีการเลี้ยงเพื่อขยายพันธุ์
1. เลี้ยงในบ่อดินโคลน กระถาง และซีเมนต์ (คล้ายกับการเลี้ยงบัว)
2. เลี้ยงในบ่อธรรมชาติ โดยเลี้ยงในกระชัง
3. เลี้ยงในแปลงโดยตรง

การใช้แหนแดงเป็นอาหารสัตว์
การเลี้ยงแหนแดงไม่ยุ่งยากมากนักถ้าทำให้ถูกวิธี โดยเริ่มแรกจะทำการเลี้ยงเพื่อขยายพันธุ์ก่อนในถังซีเมนต์ หรือกระถางปลูกบัว ทำการใส่ดินประมาณ1/2 ของกระถาง ใส่ปุ๋ยอินทรีย์หรือปุ๋ยคอกประมาณ 500 กรัมต่อดิน 10 กิโลกรัม แล้วเติมน้ำให้ทั่วผิวดินประมาณ 10 เซนติเมตร วางไว้ที่ร่มรับแสงประมาณ 50% อย่าให้อยู่กลางแดด เมื่อแหนแดงเจริญเติบโตเต็มผิวของกระถาง สามารถนำไปขยายต่อในบ่อดินที่มีระดับน้ำ 10 – 20 เซนติเมตร เมื่อต้องการใช้ปุ๋ยในนาข้าว จึงนำไปขยายต่อในนาข้าวที่เตรียมก่อนปักดำข้าว ปล่อยแหนแดงประมาณ 10% ของพื้นที่ แหนแดงจะเจริญเต็มพื้นที่ภายใน 15 – 30 วัน หลังจากทำการคลาดกลบแล้วทำการปักดำข้าวได้ทันที แหนแดงบางส่วนจะลอยอยู่บนผิวน้ำ หลังจากปักดำข้าวควรจะปล่อยให้เจริญเติบโตต่อไป เพราะแหนแดงที่เจริญเติบโตในนาข้าวสามารถเป็นอาหารปลาได้ดีมากเนื่องจากมีโปรตีนสูง จึงสามารถนำปลากินพืช เช่น ปลานิล ปลาไน ปลาตะเพียน ปล่อยลงไปได้ จะทำให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่ม จากปลาที่ปล่อยไป และมูลปลาในนาข้าวก็เป็นปุ๋ยให้แก่ข้าวเช่นกัน จึงทำให้เกษตรกรได้ผลผลิตข้าวสูงขึ้น และให้ปลามากกว่าที่เลี้ยงโดยไม่มีแหนแดง

การใช้แหนแดงในนาข้าว :
1. เตรียมขยายพันธุ์แหนแดงในพื้นที่ 20 -25 ตารางเมตร เพื่อใช้สำหรับพื้นที่เพาะปลูกข้าว 1 ไร่
2. รักษาระดับน้ำในน่าข้าวให้ลึก 5 – 10 เซนติเมตร
3. ใช้แหนแดงในอัตรา 50 – 100 กิโลกรัม/ไร่ ในวันที่ใส่แหนแดงควรมีการใส่ปุ๋ยมูลสัตว์ (มูลไก่) ที่ให้ธาตุฟอสฟอรัสอัตรา 3 กิโลกรัม/ไร่
4. ใส่ปุ๋ยมูลสัตว์อีกครั้งเมื่อแหนแดงมีอายุ 7 – 10 วัน

แหนแดงต้องการธาตุอาหารหลักเหมือนพืชสีเขียวชนิดอื่นๆ ยกเว้นไนโตรเจน รวมทั้งต้องการธาตุอาหารรองในการเจริญเติบโตด้วยในดินนาทั่วไปฟอสฟอรัสมีความจำเป็นต่อแหนแดงมาก ถ้าปริมาณฟอสฟอรัสในดินต่ำเกินไป จะส่งผลให้การเจริญเติบโต และปริมาณการตรึงไนโตรเจนลดลง

ข้อสังเกต :
1. น้ำเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการเลี้ยงแหนแดง ระดับน้ำที่ใช้ในการเลี้ยงไม่ควรสูงเกินไป ระดับที่เหมาะสมคือ 10- 30 เซนติเมตร และแหนแดงจะตายเมื่อในนาขาดน้ำ
2. แหนแดงจะเจริญเติบโตได้ดีน้ำนิ่ง หรือมีกระแสน้ำไหลเป็นเวลาอย่างช้าๆ บริเวณคลื่นลมจัดจะทำให้แหนแดงแตกกระจายออกจากกัน ทำให้การเจริญเติบโต และการตรึงไนโตรเจนลดลงอย่างมาก
3. การตรึงไนโตรเจนของ Anabaena azollae สามารถทำได้ดีในสภาพแวดล้อมที่มีไนโตรเจนต่ำ
4. การตรึงไนโตรเจนของ Anabaena azollae จะมีค่าสูงสุดที่อุณหภูมิ 30 องศาเซลเซียส และจะหยุดกระบวนการตรึงไนโตรเจนในสภาพแวดล้อมที่มีอุณหภูมิสูงกว่า 45 องศาเซลเซียส

โดย
ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร. นันทกร บุญเกิด
สาขาเทคโนโลยีชีวภาพ สำนักงานวิชาเทคโนโลยีการเกษตร
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี
โทรศัพท์ 0-4421-7006